.
.เมื่อคน หรือพระทะเลาะกัน
จะเป็นผู้แพ้ หรือผู้ชนะ ย่อมมีความอ่อนแอ
ซุกซ่อนอยู่เสมอ แล้วแพ้หรือชนะจะมีค่าอะไร..
..กรณีธรรมกาย เห็นต่างแต่อย่าทะเลาะ
เพราะใช่ว่าจะอยู่ร่วมกันไม่ได้
ตราบใดที่ยังไม่หมดกิเลส
อย่าพึ่งมั่นใจว่าความเข้าใจเราถูกทั้งหมด..
..รอยขีด 2 เส้น บนผืนทรายหากอยาก
ให้อีกเส้นยาวกว่า ก็ไม่จำเป็นว่า
ต้องลบอีกเส้นให้กุดสั้น ..
เพียงแค่ขีดอีกเส้นนั้นให้ทอดยาวออกไป
เพราะต่อให้ลบเท่าไหร่
รอยขีดของเราก็ยาวเท่าเดิม..
..จุดเด่นของพระพุทธศาสนาไม่ได้อยู่ที่ว่า
ให้เชื่ออะไร? แต่เน้นให้ลงมือทำ
ศาสนานี้จึงเป็นศาสนาของผู้มีปัญญา..
เสียงอ่านฯ กรณีธรรมกาย
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมถนัดเลยครับ
และใจจริงไม่อยากเขียนถึงด้วย
ผมชอบความสงบร่มเย็นทางใจมากว่าอะไรที่ทำให้ร้อนครับ
เข้าที่ห้องศาสนา จะเห็นกระทู้ "เสียงอ่านฯกรณีธรรมกาย"
แบ่งเป็นตอนย่อยๆ มาโปรยไว้วันละตอนสองตอนเป็นประจำ
ขอชื่นชมว่าขยันกันจริงๆ ครับ 555
คิดในแง่ดี คืออยากให้ความรู้กับเพื่อนสมาชิก
แต่คิดอีกแง่ เหมือนไม่อยากให้ลืมว่าวัดพระธรรมกาย
สอนผิดอย่างไรด้วย!
ผมไม่ค่อยชอบบรรยากาศแบบนี้เท่าไหร่ครับ
ผมเห็นคุณค่าของหนังสือกรณีธรรมกาย
ในแง่เป็นความเห็นทางวิชาการที่น่าสนใจ
แต่จะหมดความน่าสนใจ ถ้าใครเอามาใช้ว่าร้าย
หรือให้ถกเถียงทะเลาะกัน
เมื่อมี "คุณผิด-ฉันถูก" ที่ไหน
เตรียมตัวได้ว่าการทะเลาะจะตามมา
เมื่อไหร่ที่เห็นคนทะเลาะกัน
หรือพระทะเลาะกัน
ผมไม่ได้สนใจว่าใครจะชนะ
หรือใครจะแพ้
แต่ผมเห็นความอ่อนแอ ซ่อนอยู่ครับ
คนในครอบครัวทะเลาะกัน ครอบครัวนั้นอ่อนแอ
คนในชาติทะเลาะกัน ชาตินั้นอ่อนแอ
พระในพระพุทธศาสนาทะเลาะกัน
ศาสนานั้นอ่อนแอ แพ้-ชนะจะมีค่าอะไร!!
สมัยพุทธกาลมีเรื่อง"ขำ-ขื่น"
อยากเล่าไว้เป็นอุทาหรณ์สักเรื่องครับ
ขำ-เพราะเป็นเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้ง
ไม่น่าเป็นเรื่องเป็นราวอะไรได้
ขื่น-เพราะนำไปสู่การทะเลาะวิวาทใหญ่โต
เสียหายกันไปทั่ว
สาเหตุที่ทะเลาะกัน เกิดจาก
"ขัน" ในส้วมครับ
ฮึๆ ยังไม่ทันเล่าก็ขำแล้วครับ
พระรูปหนึ่งเข้าส้วมแล้วเผลอปล่อยให้มีน้ำ
ค้างอยู่ในขันคือไม่คว่ำขัน
พระวินัยธรรูปหนึ่ง มาเห็นเข้าก็บอกว่าผิดวินัย
เป็นอาบัติแต่ถ้าไม่แกล้งทำก็ไม่ผิด
พระรูปแรก เห็นว่าตัวไม่ได้แกล้ง
จึงไม่ได้ปลงอาบัติ แล้วก็ไป
เรื่องเล็กเกิดกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะพระ 2 รูปนี้
เป็นระดับครูบาอาจารย์ ที่มีลูกศิษย์ลูกหา
มากมายด้วยกันทั้งคู่
พระวินัยธรคงไปเล่าให้ลูกศิษย์ตัวฟัง
ว่ามีพระที่เข้าส้วมเป็นถึงแต่ทำผิดยังไม่รู้ตัว
ลูกศิษย์ไปพูดกระทบศิษย์ ของพระที่ไม่คว่ำขัน
ว่าอาจารย์พวกท่านต้องอาบัติก็ยังไม่รู้เลย!
เรื่องจึงลุกลามใหญ่โตฝ่ายหนึ่งหาว่าต้องอาบัติยังไม่รู้
อีกฝ่ายก็สวนกลับว่า ไหนบอกว่าไม่แกล้ง ไม่เป็นไร
อาจารย์พวกท่านกลับกลอกไปกลับกลอกมา
พระทั้ง 2 ฝ่ายจึงเริ่มไหรวบรวมพวกที่คุ้นเคย
ชอบพอกันให้มาเข้ากันกับพวกตัว
ขอบเขตการทะเลาะจึงขยายลามออกไป
จนฝ่ายวินัยธรจัดการลงนิคหกรรม(ลงโทษ)
พระที่ลืมคว่ำขันได้สำเร็จ
ชนะหรือครับ.. เปล่าเลย เพราะฝ่ายที่ถูกลงนิคหกรรม
ก็ไม่แคร์ ทั้ง 2 ฝ่าย จึงแตกกัน ต่างคนต่างอยู่
ไม่ทำสังฆกรรมร่วมกันเหมือนเคย
เรื่องไปถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระองค์จึงเข้ามาแก้ไข
แก้อย่างไร..?
พระองค์ตำหนิทั้ง 2 ฝ่ายครับ
โดยตำหนิฝ่ายวินัยธรว่า อย่านึกว่าตัวฉลาด
ต้องคิดด้วยว่า ถ้าปรับอาบัติเขาแล้ว
จะทะเลาะกันก็ไม่ต้องส่งไปปรับมันสิ
ส่วนชุดไม่คว่ำขัน ทรงตำหนิว่าต่อให้ไม่ผิด
แต่คนอื่นเขาเชื่อว่าผิด ถ้าการยืนกรานของเรา
ทำให้ต้องทะเลาะกันไปใหญ่ ก็ให้ยอมรับผิดไปซะ
สรุปตำหนิทั้งคู่ และให้ประนีประนอมกัน เพื่อความสมัคคี
เรื่องน่าจะจบลงด้วยดี แต่เชื่อไหมครับ
พระ 2 กลุ่มนี้ยังคงทะเลาะกันเหมือนเดิมต่อไป
พระองค์สอนอีกหลายครั้งก็ยังไม่ได้ผล
จนทรงใช้วิธีสุดท้าย คือ เมื่อสอนไม่ได้
ก็ไม่สอนมันซะเลย!
พระองค์เสด็จออกจากเมืองไปเฉยๆ เลยครับ
พอทรงจากไป ชาวบ้านก็โวยวายละสิคราวนี้
ว่าเพราะพระพวกนี้ เราจึงไม่มีโอกาสได้เห็น
ได้ฟังธรรมจากพระองค์
ชาวบ้านเริ่มรวมหัวกันเลิกใส่บาตร เลิกไหว้
ไม่ให้ความช่วยเหลืออะไรทั้งสิ้น
พระพวกนี้ก็ดิ้นสิครับ
ไอ้ที่เคยข้าก็เก่ง เอ็งก็แน่ กลายเป็นเงียบกริบ
ถ้าขืนทะเลาะกันต่อไป ก็อดตายละครับ
ความพยศผยอง พองลม ดื้อด้านก็หมดไป
รีบเดินทางไปขอให้พระพุทธเจ้ายกโทษให้ตัว
เหลือเกินจริงๆ นะครับ กว่าจะยอมลดราวาศอกกันได้
เล่นเอาวุ่นวายไปหมด พอจะขำ-ขื่นกันบ้างไหมครับ
เรืองเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่คล้ายโดมิโน่
กลับมาเรื่องกรณีธรรมกาย
เห็นต่างก็อย่าให้ทะเลากันเลยครับ
ชาวบ้านอย่างเรา ตราบใดยังไม่หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์
เผื่อใจไว้บ้างเถอะครับว่าสิ่งที่เราคิดเราเห็น
อาจไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด
หนังสือกรณีธรรมกายก็เหมือนกัน
เรื่องไหนที่ไม่มีความรู้ ผมจะฟังหลายด้าน
เรื่องไหนพอรู้บ้าง หรือมีประสบการณ์ผมก็อาจเห็นต่างออกไป
ไม่ได้เชื่อด้วย แต่ก็ชอบครับ
ส่วนที่ให้ความรู้ทำให้ผมรู้เพิ่มขึ้น
ส่วนที่เป็นความเห็นหรือข้อแนะนำ
ผมรับฟังด้วยความสนใจ
อย่างเรื่องนิพพานเป็นอัตตา หรืออนัตตา
ผมมีความรู้แบบงูๆ ปลาๆ ปราชญ์ที่ไหน
ยกเหตุผลมาอ้างอธิบาย ผมก็เคลิ้มไปกับทั้งสองฝ่ายละครับ
บอกว่าเป็นอนัตตา ผมก็อืม!! มีเหตุผล
บอกว่าเป็นอัตตา ผมก็อืม!! มีเหตุผลอีกเหมือนกัน
ฮึๆ เชื่อง่ายครับ
จึงไปหาอ่าน แล้วพบว่ายังมีนักวิชาการ
ทางศาสนาเก่งๆ บางท่านเห็นต่างไปก็มีครับ
เช่น ศาสตราจารย์แสง จันทร์งาม
ท่านก็นักปราชญ์เมืองไทยครับ ท่านให้ความเห็นไว้ว่า
ขอยกมาบางส่วนนะครับ
"นิพพานอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า
อนุปาทิเสสนิพพาน
หมายถึง
นิพพานของพระอรหันต์ที่สิ้นชีพดับขันธ์แล้ว
นิพพานชนิดนี้มีปัญหาถกเถียงกันมาก
และ
ถกเถียงกันมาตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน
มีคนทูลถามพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วว่า
พระอรหันต์สิ้นชีพแล้วอะไรเกิดขึ้น..
ท่านยังมีอยู่ หรือไม่มีอยู่
ความจริงพระพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวก
ก็ได้ประทานคำตอบไว้แล้วในพระไตรปิฎก
แต่ถึงกระนั้น คนก็ยังถกเถียงกันอยู่"
เพราะเหตุไร?
ก็เพราะคำตอบเหล่านั้นยังไม่ชัดเจนพอ
บางทีก็ตอบเชิงปฏิเสธ (Negative)
ว่านั่นก็ไม่ใช่ นี้ก็ไม่ใช่ ไม่ใช่อะไรสักอย่าง
บางทีก็ตอบว่า นิพพานลึกซึ้งจนพูดถึงไม่ได้
อธิบายไม่ได้
ด้วยท่าทีแบบนี้ จึงมีชาวพุทธเถรวาทเป็นอันมาก
เช่น ท่านพุทธทาส เป็นต้น
ยอมรับเฉพาะ
"นิพพานทางจิตวิทยา" เท่านั้น
ไม่ยอมรับนิพพานที่เป็นสภาวธรรมอันหนึ่ง
ที่มีอยู่โดยตัวเองในเอกภพ หรือที่นักวิชาการสมัยใหม่
ศจ.ดร.วิทย์ วิศทเวทย์ เรียกว่า "
นิพพานแบบ
อภิปรัชญา" (Metaphysical Nirvana)
ท่านเหล่านี้เชื่อว่า เมื่อพระอรหันต์สิ้นชีพ
ดับขันธ์ลง ทุกสิ่งทุกอย่างก็สิ้นสุดลงแค่นั้น
ชีวิตของท่านก็ดับไป เหมือนไฟหมดเชื้อ
เหมือนตาลยอดด้วน ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย
ปัญหาที่ใคร่จะพยายามตอบ
ในบทความนี้ก็คือว่า
นิพพานแบบอภิปรัชญา..มีอยู่หรือไม?
คำตอบที่พบในพระไตรปิฎก แบบยอมรับว่ามี
ถ้าสนใจลองไปอ่านกันดูครับ
(แต่ถ้าไม่ซีเรียสจริงจัง ก็ผ่านไปเถอะไม่ปวดหัวดี)
---------------------------------------------------------------------------
http://www.oocities.org/tokyo/field/1244/interest/int06271.htm
http://www.oocities.org/tokyo/field/1244/interest/int06272.htm
----------------------------------------------------------------------------
เรื่องอื่นๆ ในหนังสือนอกจากนี้ผมคงขอข้ามไป
ที่ยกมาไม่ใช่ว่าอยากให้ทะเลากัน
แต่อยากชี้ให้เห็นว่า..
คนที่เห็นต่างมันมี
ดังนั้นสามัคคีกันดีกว่าครับ!
ต่างคนต่างก็ยังไม่ไปนิพพานอะไร
ชาตินี้ก็ใช่จะไปถึงเหมือนคนเริ่มเดินทาง
แต่ทะเลาะกันเรื่องปลายทางว่าเป็นอย่างไรซะแล้ว
จุดเด่นของพระพุทธศาสนา
ไม่ใช่อยู่ที่ว่าให้เชื่ออะไร..!
แต่เด่นตรงที่ลงมือทำครับ !!!
ศาสนานี้จึงเป็นศาสนาของผู้มีปัญญา
ไม่ต้องเชื่อ แต่ให้ทำไปจนกว่าจะเห็นตัวตาตัวเอง
ศาสนานี้จึงให้ความสำคัญกับ
"ทาง" หรือ
"มรรค"
หรือ
"ปฏิปทา" ในระดับที่ทรงท้าว่า
"เอหิปัสสิโก" เชิญมาพิสูจน์ดู
ความเห็นต่างจึงไม่ได้หมายความว่า
จะอยู่ร่วมกันไม่ได้
และอย่างเพิ่งมั่นใจว่าความเข้าใจของเรา
ถูกต้องอยู่คนเดียว
ความเห็นที่ต่างกันเหมือนเส้น 2 เส้น
ที่ขีดให้ยาวเท่ากันบนผืนทราย
การจะให้เส้นของฝ่ายหนึ่งยาวกว่าอีกฝ่ายหนึ่งได้
ทำได้ 2 วิธีคือ
ลบเส้นของฝ่ายตรงข้ามให้สั้นลง
หรือขีดเส้นของเราให้ยาวขึ้น
โดยส่วนตัวผมชอบวิธีหลัง..
มันสง่างามกว่ากันเยอะเลยครับ
ลบเส้นของเขา เส้นของเราก็เท่าเดิม
ไม่ได้ดีเด่อะไรขึ้นมา
ผมเชื่อครับว่าทุกคน ทุกวัด
อยากทำให้พระพุทธศาสนาเจริญ
ดังนั้นเมื่อมั่นใจว่าความเข้าใจของเราถูก
ก็ขีดเส้นของเราให้ยาวออกไปครับ
เห็นนิพพานเป็นอนัตตา ก็ไปสอนญาติโยม
ให้ลงมือรักษาศีล นั่งสมาธิ จนเกิดปัญญา
ให้โยมเข้าถึงนิพพานอนัตตานั้น
เห็นว่าทำบุญแล้วอย่าสร้างใหญ่โต
ต้องแล้วแต่ศรัทธา หรือจะอะไร
ก็ไปฝึกญาติโยมให้ทำบุญให้ได้อย่างที่เราคิด
ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่พูดให้เขาเชื่อ
แต่อยู่ที่ฝึกให้เขาทำตามที่เราเชื่อได้สำเร็จ
จนเห็นผล..!!!
แปลงสิ่งที่คุณคิดคุณเข้าใจ
ให้เป็นรูปธรรมเถอะครับ
ชาวพุทธอีกหลายสิบล้าน รอท่านไปชวน
ไปสอน ไปฝึกให้เขาทำอยู่
คนเชื่อตามแบบวัดพระธรรมกายมีไม่มาก
เมื่อเทียบกับคนไทยทั้งประเทศ
ชาวพุทธที่ไม่เชื่อพระพุทธเจ้าจริงจัง
หรือเชื่อครึ่งๆ กลางๆ ยังดื่มเหล้า สูบบุหรี่
เล่นการพนัน หมกมุ่นกับอบายมุข
ศีล 5 ยังไม่ครบน่าจะมีหลายสิบล้านคน
และที่ยังเชื่อเจ้าพ่อเจ้าแม่ ทรงเจ้าเข้าผี
หมอดูดวงชะตา ที่ไม่ใช่พระรัตนตรัย
น่าจะอีกหลายล้านเหมือนกัน
วัดพระธรรมกายสร้างขึ้นโดยแม่ชีอายุ 60 ปี
คนหนึ่งที่อ่านหนังสือไม่ออก
เขียนไม่ได้ยังทำได้ขนาดนี้
วัดอื่นๆ มีพระ มีโยม มีความรู้มากกว่านี้ตั้งเยอะ
ลุยเลยครับ..ผมเชียร์
ขอให้สนุกสนานในการทำความดีครับ
Cr.Neocitran
Link --
http://pantip.com/topic/34981936
ติดตามอ่านทุกกระทู้สนทนาได้ที่
Link --
http://pantip.com/profile/2932812